Sunday, November 15, 2009

การพัฒนาสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ

. Sunday, November 15, 2009
0 ความคิดเห็น

ชื่อเรื่อง            การพัฒนาสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)   วิชาคณิตศาสตร์    
                        เรื่องอัตราส่วน  สัดส่วน  และร้อยละ  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2
             โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร 
ชื่อผู้ศึกษา        นายสมบัติ  เฉยไสย

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ   พัฒนาสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) วิชาคณิตศาสตร์  เรื่องอัตราส่วน  สัดส่วน  และร้อยละ  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2  โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร  กลุ่มตัวอย่าง  ได้แก่  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2/1  และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2/2  ภาคเรียนที่  1  ปีการศึกษา  2551 โรงเรียนยางตลาด
วิทยาคาร  อำเภอยางตลาด  จังหวัดกาฬสินธุ์  จำนวน  48  คน  ได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย  (Simple  Random  Simpling)  เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา  ได้แก่  แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง  อัตราส่วน  สัดส่วน และร้อยละ   บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  (CAI)  เรื่องอัตราส่วน  สัดส่วน และร้อยละ   แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ก่อนเรียนและหลังเรียน)   และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน   สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล  คือ ร้อยละคะแนนเฉลี่ย   และ  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า  นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ  20.52  คิดเป็นร้อยละ  82.08  สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน  ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ  9.50  คิดเป็นร้อยละ 38   ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนเท่ากับ  1.91  น้อยกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียน  ซึ่งมีค่าเท่ากับ  2.19    บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องอัตราส่วน  สัดส่วน  และร้อยละ   ชุดนี้  เป็นสื่อการเรียนการสอน  ที่มีประสิทธิภาพ  (E1/E2)   เท่ากับ  83.15/82.08 
              ดังนั้น  บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)  ชุดนี้  จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาทักษะการคิดคำนวณ    และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้น 
และจากการที่เด็กนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามความคิดเห็น  ที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน   ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า  ชอบเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  เพราะเห็นเป็นความแปลกใหม่  ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  ต้องการให้มีการเรียนการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  ทำให้เข้าใจเนื้อหาในบทเรียนได้ดี  ต้องการให้นักเรียนคนอื่นๆและตนเอง  ได้มีโอกาสเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในวิชานี้  และ วิชาอื่นๆ  อีกต่อไป

Klik disini untuk melanjutkan »»

รายงานผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6เรื่อง เศษส่วนหรรษา

.
0 ความคิดเห็น


ชื่อรายงาน             รายงานผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
        เรื่อง เศษส่วนหรรษา
ชื่อผู้รายงาน           นายชัชชัย   จินะกาศ    ครูชำนาญการ โรงเรียนวัดท่าต้นงิ้ว
ปีที่ทำการศึกษา      ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550


  บทคัดย่อ

                การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่  
1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา โดยเทียบกับเกณฑ์ 75/75    
2)  เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา   
 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา   ประชากรที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดท่าต้นงิ้ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลำพูน เขต 1 ที่กำลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 4 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 
1) แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา จำนวน 4 ชุด รวม 18 แบบฝึก   
2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา จำนวน 18 แผน   
3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารเศษส่วน และ 
4) แบบศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่ใช้แบบฝึกดังกล่าว   
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 
1) สถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน   
2)  สถิติสำหรับการหาคุณภาพของเครื่องมือ และ 
3) สถิติสำหรับทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที (t – test) 
ผลการศึกษาพบว่า 1) แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องเศษส่วนหรรษา ชุดที่ 14  มีค่าเท่ากับ 81.75/83.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ทุกชุด ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.75   2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องเศษส่วนหรรษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ( =23.25, =31.50) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  และ 
4) นักเรียนร้อยละ 100 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะฯ นี้ในระดับมากที่สุด

Klik disini untuk melanjutkan »»

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร

.
0 ความคิดเห็น


บทคัดย่อ


ผลงาน      การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหารกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

ผู้ศึกษา     นางนงนุช   ชูปาน

ตำแหน่ง    ครูวิทยฐานะครูชำนาญการ


ปีการศึกษา  2550

           การ ศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 
(1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80   
(2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 
(3) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร          กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนเทศบาลบูรพาอุบล สำนักการศึกษา เทศบาลนครอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนเทศบาลบูรพาอุบล สำนักการศึกษา เทศบาลนครอุบลราชธานี จำนวน 38 คน  เครื่อง มือในการทดลอง ประกอบด้วย แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 12 ชุด  แผนการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 12 แผน  และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)
     ผลการศึกษาพบ
 
1.แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 82.43 / 82.28 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 ที่กำหนดไว้

2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้         โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์        ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

3.ค่า ดัชนีประสิทธิผลจากการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งวัดได้จากคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังฝึกทักษะ พบว่า มีค่าเท่ากับ 0.6112 หรือคิดเป็นร้อยละ 61.12 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 61.12

Klik disini untuk melanjutkan »»
 
Namablogkamu is proudly powered by Blogger.com | Template by o-om.com | Gorgeous Beaches of Goa